วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อย่าสัญญากับใครถ้าคุณทำไม่ได้

อย่าสัญญากับใครถ้าคุณทำไม่ได้".........................
"อย่าสัญญากับใครถ้าคุณทำไม่ได้"เด็กสาวตาบอดคนหนึ่ง เกลียดตัวเองที่มองอะไรไม่เห็นเธอเกลียดทุกคนยกเว้นแฟนหนุ่มของเธอวันหนึ่งเธอบอกกับเขาว่า ถ้าเธอมองเห็น เธอจะแต่งงานกับเขาแล้ววันหนึ่ง โชคก็เดินทางมาถึง มีคนบริจาคดวงตาให้เธอ!เธอจึงมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งแฟนของเธอเขาจึงถามเธอว่า "ตอนนี้เธอมองเห็นแล้ว เธอจะแต่งงานกับฉันไหม"เด็กสาวตกใจมากที่เห็นว่า เขาตาบอด!เธอตอบเขาว่า "ขอโทษนะ ฉันแต่งงานกับเธอไม่ได้หรอก เพราะเธอมันตาบอด"แฟนของเธอเดินจากไปพร้อมน้ำตาเขาบอกกับเธอว่า "งั้น...ช่วยดูแลดวงตาของฉันให้ดีก็แล้วกันนะ"

รู้ทันทุกข์แล้วจะสุขเอง

ถ้าเราอยากจะมีความสุข สิ่งที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ... การรู้จักความทุกข์เสียก่อน ไม่อย่างนั้น ความสุขก็เกิดไม่ได้ เหมือน เราเจ็บป่วยไปหาหมอ ก่อนที่หมอจะทำการรักษา ก็ต้องรู้เสียก่อนว่า.. ปวดเจ็บ ตรงไหนบ้าง จะได้วินิจฉัยหาสาเหตุ แล้วจึงค่อยลงมือรักษา ถ้าเราอยากหายจาก อาการเจ็บป่วยเราก็ต้องยอมให้หมอรักษาไม่ว่าจะชอบหรือไม่? ความทุกข์แม้จะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ แต่ถ้าอยากหายจากความทุกข์ ก็ต้องยอมรักษาไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม และ วิธีรักษาก็มีหลากหลายแตกต่างกันไปตามแต่อาการที่ปรากฏ บางคนทุกข์ขนาดหนัก ก็ต้องอาศัยยาแรงหน่อย คนไหนทุกข์น้อยก็เพิ่มวิตามินความสุขให้ใจแข็งแรง ยิ่งขึ้น แต่ ที่สำคัญคือเรามักไม่ค่อยรู้ตัวเองว่ากำลังทุกข์อยู่ เพราะไม่ค่อยได้สนใจ ตรวจสุขภาพใจจึงไม่ได้เตรียมตัวป้องกันความทุกข์ไว้แต่เนิ่นๆ พอรู้สึกตัว อีกทีก็หาทางออกไม่เจอเสียแล้ว เราจึงควรเช็ดตัวเองบ่อยๆ ว่าตอนนี้จิตใจมีทุกข์มากน้อยแค่ไหน? ใน พระพุทธศาสนาถือว่าเรามีทุกข์อยู่ตลอดเวลา หิวก็ทุกข์ อิ่มก็ทุกข์ มีเงิน น้อยก็ทุกข์ เงินมากก็ทุกข์ มีงานก็ทุกข์ ไม่มีงานก็ทุกข์ เดินมากก็ทุกข์ นั่งนานก็ทุกข์ ทุกข์ทั้งนั้น หรือ ถ้ามองให้ลึกซึ้งกว่านั้นทุกๆ อย่างในตัวเราเป็นทุกข์ทั้งหมด เพราะทุกอย่าง ล้วนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีสิ่งไหนทนอยู่นิ่งๆ ได้ ซึ่งตรงกับความหมายของคำว่า ทุกข์ ที่แปลว่า อยู่อย่างเดิมไม่ได้ อย่างชีวิตเรามีเกิด แล้วก็แก่ เจ็บ ตาย เปลี่ยนแปลงไปตลอด ไม่มีใครฝืนต่อความจริงนี้ได้ ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นว่าชีวิตไม่เห็นจะดีที่ไหน มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น แล้วความสุขอยู่ไหน? ความสุขคือการอยู่เหนือความทุกข์ จนความทุกข์เอื้อมไม่ถึง เป็นการพัฒนาใจให้ ก้าวพ้นความหมายของการยึดติด หรือปล่อยวางอารมณ์ที่ทำให้เกิดความทุกข์ เพราะ ความทุกข์ก็เหมือนน้ำที่ตกตะกอนอยู่ก้นตุ่ม พอถูกอะไรกระตุ้นเข้าก็ขุ่นมัว แต่พอผ่านไป สักตะกอนก็จะกลับไปนอนนิ่งใต้ตุ่มเหมือนเดิม เราจึงเห็นคนทะเลาะกัน เพราะถูกกระตุ้นด้วยความไม่พอใจ แล้วตีกันจนปาดเจ็บหรือล้มตาย แต่พอตำรวจจับได้ ต้องไปนอนในตาราง จึงเริ่มสงบใจและคิดได้ว่า “ไม่น่าเลย” หรือพอความคิดมีวุฒิภาวะมากขึ้น เราจึงเข้าใจว่าไม่น่าทำอย่างนั้นเลย ถ้าหลายคนคิดได้ก่อนจะลงมือทำก็คงไม่ต้องทุกข์ภายหลังกับการกระทำของตน แต่ความเป็นจริงเรามักถูกตัดขาดจากเหตุผลโดยสิ้นเชิง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอารมณ์ที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวเสมอ เพราะทุกครั้งที่เราเห็น ได้ยิน ดมกลิ่น ลิ้มรสอาหาร หรือสัมผัสถูกต้องกับอะไรก็ตาม จะมีความรู้สึกว่าชอบไม่ชอบ ถ้าชอบก็มีความสุขและแสดงออกถึงความชื่นชมพอใจ ถ้าไม่ชอบ เราก็เป็นทุกข์ และพยายามกีดกันความทุกข์ให้ไกลออกไปให้มากที่สุด แต่บางทีทุกข์ก็ไม่ได้หายไปไหน กลับเพิ่มปริมาณมากขึ้น เพราะ ยิ่งเราเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ภายนอกเท่าไร ก็เหมือนเป็นการเชื้อเชิญให้ ความทุกข์เข้ามาในตัวมากขึ้นเท่านั้น เป็นการเปิดบ้านใจให้ความทุกข์เข้ามาอาศัย เหมือนมีคนมาด่า เราเกิดความไม่พอใจ ก็ด่าว่ากลับคืนหรือทำร้ายร่างกายเขา กลายเป็นว่าแทนที่เราจะทำใจให้ปกติ เรากลับก่อความทุกข์ให้มากยิ่งขึ้นกับคำด่า หรือการทำร้ายร่างกายกันจนอาจต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ถ้าเราไม่ใส่ใจหรือทำตัวเราให้ลอยอยู่เหนือทุกข์ คิดเสียว่าคำด่าก็คือคำแนะนำ ถ้าเป็นจริงเราก็ปรับปรุงแก้ไข แต่ถ้าไม่จริงก็ไม่เห็นต้องไปสนใจ เพราะเราไม่อาจเปลี่ยนสิ่งภายนอกให้เป็นอย่างที่เราต้องการได้ นอกจากเปลี่ยนใจ ตัวเองให้เป็นปกติ แล้วไม่เปิดใจรับความทุกข์ให้เขามาได้ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้สอนความทุกข์ให้กับสาวกของพระองค์ตลอดเวลา เพราะความ ทุกข์มีค่า และช่วยให้เราเข้าใจความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้ดีที่สุด จึงไม่น่าแปลกหากจะมีวิชาที่อาจารย์ต้องการสอนศิษย์ให้เข้าใจชีวิตและตัวเองมากขึ้น จะหยิบยกเอาเรื่องความทุกข์มาสอน เพราะเมื่อเข้าใจความทุกข์ได้ ก็ไม่ยากที่ชีวิตจะดำเนินต่อไปได้อย่างมีความสุข บางบทจาก.. หนังสือรู้ทันทุกข์แล้วจะสุขเอง โดย: กิตติเมธี โดยสำนักพิมพ์ใยไหม

ผู้นำสี่ทิศ

มีเรื่องราวว่าด้วยบุคลิกภาพและบทบาทของการเป็นผู้นำตามความเชื่อของชาวจีนที่ไปสอดคล้องกับความเชื่อของชนเผ่าอินเดียนแดงในยุคโบราณ ที่เปรียบผู้นำไว้เหมือนทิศทั้ง 4 ทิศ หรือตามบุคลิกของสัตว์ประเภทต่างๆ ที่น่าสนใจ โดยมีความเชื่อกันว่า โดยความเป็นจริงตามธรรมชาติของมนุษย์แล้วนั้น คนเราจะไม่เด่นชัดไปในแบบใดแบบหนึ่งเสียทั้งหมด แต่จะมีบุคลิกแบบผสมผสานรวมอยู่ในคนเดียวกัน อาจจะมากบ้างน้อยบ้าง และเมื่อวันเวลาผ่านไป ผ่านวันผ่านประสบการณ์ ผ่านการเรียนรู้ต่างๆ ก็จะทำให้ทัศนคติและบุคลิกที่เคยเป็นตอนเด็ก ตอนวัยรุ่...
ลองมาดูว่า คุณมีบุคลิกเป็นผู้นำแบบใด มีอะไรต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ผู้นำทิศเหนือ
เปรียบเสมือน : กระทิง เป็นดั่งฐานกาย อยู่ในธาตุไฟ
บุคลิกลักษณะ : มีนิสัยรวดเร็ว ทันใจ หวังผลเลิศ ชอบลงมือทำงานด้วยตนเอง แบบออกแอคชั่นด้วยตนเองมากกว่าฟังคนอื่นว่าตามกันมา ดังนั้นความรู้ที่ได้สั่งสมมาจึงมาจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง จึงไม่เชื่อทฤษฎี โดยบุคลิกแล้วจะมีลักษณะดุดัน กล้าชน กล้าเผชิญหน้า มีความมุ่งมั่น จริงใจ เคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างมีเป้าหมาย ชอบเห็นผลเร็ว ชอบอยู่แนวหน้า กล้าแสดงออก ชอบใช้พลัง มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อปัญหาต่างๆ อย่างรวดเร็ว เหมือนวัวกระทิงที่เจอสีแดงแล้วจะวิ่งชนทันที ถือว่าเป็นทิศของนักรบ เพราะมีความกล้าเสี่ยง กล้าท้าทาย ชอบวิ่งชนกับปัญหา ผู้นำลักษณะนี้เหมือนเถ้าแก่ยุคแรกเริ่มในการทำธุรกิจของเจ้าสัวชาวจีน อยู่ในธาตุหยางตามหลักความเชื่อของชาวจีน นักการเมือง สื่อสารมวลชน ทนายความ มักจะมีบุคลิกของความเป็นกระทิงอยู่สูง
ข้อดี : พร้อมปกป้องดูแลลูกน้องแบบเป็นแม่ไก่กางปีกปกป้องลูกไก่ เป็นคนเอาพรรคเอาพวก ชอบอยู่เป็นกลุ่มก้อน ถือว่าเป็นทิศแห่งการยืนหยัด พร้อมเผชิญหน้ากับความขัดแย้งทุกรูปแบบ ท้าทายอำนาจอย่างเปิดเผย
ข้อเสียควรแก้ไข : ควรที่จะยอมผิดพลาดบ้าง รู้จักที่จะช้าๆ กับบางเรื่อง รู้จักอดทนรอคอย อย่าคิดเร็วทำเร็ว หัดทบทวนการตัดสินใจของตัวเองดูอีกครั้งว่าถูกต้องแม่นยำจริงๆ แล้วหรือไม่ เพราะอาจแฝงไว้ด้วยความมีความเป็นตัวตนสูง หรืออาจจะทำให้ดูเป็นคนชอบใช้อำนาจมากเกินไป
ข้อเสนอแนะ : ถ้าจะให้ดี ควรมีความผสมผสานระหว่างผู้นำในแบบกระทิง และผู้นำในแบบหมี (กระทิงบวกกับหมีก็คือหมิง) โดยอาจจะมีความเป็นหมีสัก 60 เปอร์เซ็นต์ กระทิง 40 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ หรือแบบกระทิงสัก 60 แบบหมีสัก 40 ก็ได้เช่นกัน เพราะการสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ จะมีปัญหาการทำงาน หรืออยู่ร่วมกับคนอื่นได้ในระยะยาวได้ หรือผู้นำอีกแบบหนึ่งก็คือการผสมผสานระหว่างกระทิงกับหนูก็ได้ อย่างน้อยกระทิงจะได้มีความอ่อนโยน เข้าอกเข้าใจ ให้ความสำคัญเรื่องของใจมากกว่าที่จะใช้กำลังเพียงอย่างเดียว
ตามหลักการนั้น ว่ากันว่าถ้าเป็นผู้นำแบบหมีผสมผสานกับกระทิง จะกลายเป็นผู้นำที่ดูน่าเกรงขามมาก เพราะจะเป็นนักคิดนักวางแผนที่กล้าเผชิญหน้า ต่อสู้กับความท้าทายปัญหาต่างๆ อย่างเป็นระบบระเบียบ เป็นนักบริหารที่แม่นยำ กล้าได้กล้าเสีย มั่นคงแบบกล้าฟันธงในทุกเรื่องราว
ผู้นำทิศใต้
เปรียบเสมือน : หนู ซึ่งตกอยู่ในธาตุน้ำ ถือว่าเป็นทิศที่อยู่ในฐานใจ
บุคลิกลักษณะ : ให้ความสำคัญกับความรู้สึกและอารมณ์สูง ชอบใช้ใจมากกว่าการใช้กำลัง มีบุคลิกรวดเร็ว ว่องไว ปราดเปรียว ขี้เล่น ขับเคลื่อนพลังด้วยความรู้สึกที่ใส่ใจ ชอบช่วยเหลือดูแลคนรอบข้างแบบอบอุ่น ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หล่อเลี้ยงและดูแลดึงคนมารวมกันอยู่ด้วยหัวใจได้อย่างมากมาย จะทำทุกวิถีทางที่ทำให้คนรอบข้างตัวรู้สึกดีอยู่เสมอ ถือว่ามีความเป็นผู้ให้สูง โดยลักษณะของหนูนั้นจะไม่เรียกร้อง เป็นคนไม่เปิดเผย มีแบบแผน และชอบสนองความต้องการของผู้อื่นมากกว่าความต้องการของตนเอง
สังคมไทยจะคาดหวังให้ผู้หญิงมีบุคลิกลักษณะเป็นแบบหนู เพราะที่สำคัญบุคลิกของผู้นำในทิศนี้จะเป็นคนที่มีความประนีประนอมสูง ไม่ชอบเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง จะหลีกเลี่ยงการปะทะรุนแรง รูปแบบการเป็นผู้นำแบบหนูนั้น ภาวะจะไม่เด่นเหมือนกระทิง มีบทบาทหน้าที่เป็นผู้ประสานงานแบบเป็นกาวใจ มีความอ่อนโยนสุภาพ เป็นผู้นำในแบบผู้เยียวยา ถือว่าเป็นหยิน กล่าวคือเป็นฝ่ายตั้งรับ ผู้นำแบบนี้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยาดี และผู้ที่เป็นจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยามักจะเป็นผู้นำแบบทิศใต้นั่นเอง เป็นผู้นำในแบบผู้ประสานงานให้เกิดความราบรื่นในหมู่คณะแบบกาวใจนั่นเอง คนในอาชีพศิลปิน นักร้อง นักแสดง นักดนตรี จิตรกร มักจะมีบุคลิกแบบหนูสูงสุด
ข้อดี : จะเป็นผู้ที่หลีกเลี่ยงความขัดแย้งรุนแรง ไม่ชอบปะทะหรือใช้กำลังทำลายล้าง จะได้กลิ่นของความขัดแย้ง หรือความไม่ลงรอยกันได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานใดที่ได้ผู้นำหรือผู้ร่วมงานแบบนี้จะโชคดี เพราะจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้รวดเร็วและราบรื่น
ข้อเสีย : แต่ที่โชคร้ายก็คือ องค์กรแบบนี้มักจะไม่ค่อยเจอผู้นำในแบบหนู เพราะหนูจะลาออกไปเสียก่อน เนื่องจากไม่สามารถจะอยู่ในท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรงได้ และอาจจะถูกข่ม เนื่องจากมีความอ่อนโยน และประนีประนอมมากเกินไป เพราะจะเป็นผู้นำแบบขี้สงสาร ชอบความสงบ และรักสันติ ในหน่วยงานต่างๆ มักจะพบผู้นำในแบบกระทิงมากกว่าผู้นำแบบหนู
ข้อเสนอแนะ : ควรนำความเด็ดเดี่ยว กล้าเผชิญกับปัญหาแบบกระทิงมาไว้ในความเป็นหนูบ้าง เนื่องจากหากเป็นหนูล้วนๆ จะดูใจน้อย ใช้ใจ ใช้อารมณ์มากเกินไป จนดูอ่อนแอไม่น่าเกรงขาม และยากที่จะเป็นผู้นำที่สมบูรณ์แบบ แต่ถ้าหนูกับกระทิงมาผสมกันจะดูดีขึ้น เป็นหนูที่ทรงพลัง
ผู้นำทิศตะวันตก
เปรียบเสมือน : การเป็นผู้นำแบบหมี ซึ่งจัดอยู่ในธาตุดิน โดยจัดอยู่ในฐานความคิด
บุคลิกลักษณะ : เป็นแบบเสถียร คือต้องการความมั่นคงสูง เป็นคนหนักแน่นแบบช้าแต่มั่นใจ (ช้าแต่ชัวร์นั่นเอง) มีนิสัยชอบวิเคราะห์วิจัย มีแบบแผนวิธีการทำงานที่ลงตัว หรือจะเรียกว่ามีระเบียบวินัยสูง มีความเชื่อว่าความเป็นระบบจะทำให้เกิดความสำเร็จ ไม่ชอบความวุ่นวาย มีความรอบคอบ จะมองทุกอย่างไปข้างหน้าเสมอ คิดล่วงหน้า ชอบวางแผน มีขั้นตอนมีตรรกวิทยา ซึ่งจะต่างกับกระทิง ที่จะไม่ชอบวางแผน ทำงานแบบบุกตะลุย ประสบความสำเร็จแบบไม่มีกระบวนท่า
แต่ผู้นำแบบหมีนั้น จะเป็นพวกอนุรักษนิยม คือมีขั้นมีตอนมีระบบระเบียบ บริหารงานแบบใจเย็น มีหลักการสูง มีกรอบมีกติกา ในการดำเนินชีวิตใช้เหตุผลเยอะ บางครั้งอาจจะดูเหมือนเป็นคนที่สื่อสารยาก เพราะชอบทำงานแบบอนุรักษนิยม คือเป็นระบบเป๊ะๆ ไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยง จึงไม่ชอบทำอะไรแบบฉับพลันดำริ ชอบสังเกตการณ์ทุกสิ่งรอบตัว ไม่ชอบเกาะติดนัวเนีย รักษาระยะและพื้นที่ตัวเองสูง ไม่ให้ใครเข้ามาในชีวิตส่วนตัวมากนัก รักความสันโดษ ผู้นำแบบนี้เหมาะกับการทำงานในอาชีพนักบัญชี นักการเงิน สรรพากร ดูแลเรื่องภาษี เป็นคนกลัวพลาดสูง
ข้อดี : จะเป็นผู้นำที่หาความผิดพลาดได้ยาก เพราะมีหลักการทำงานแบบมีระบบระเบียบ เคร่งครัดต่อกฎเกณฑ์ มีปรัชญาในการทำงานในลักษณะที่เรียกว่าป้องกันดีกว่าแก้ไข
ข้อเสีย : มีลักษณะการทำงานที่เคร่งเครียด ไม่มีความยืดหยุ่น ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ผู้นำแบบหมีนั้นควรจะมีความเป็นอินทรีหรือกระทิงผสมอยู่ในการทำงานจะทำให้มีการทำงานมีความสุขและประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น
ผู้นำทิศตะวันออก
เปรียบเสมือน : เหยี่ยวหรืออินทรี เป็นพวกธาตุลม มีญาณทัศนะ มีเจตจำนงสูง
บุคลิกลักษณะ : เป็นคนชอบมองภาพรวมใหญ่ๆ เชื่อมโยงเครือข่ายแบบสร้างสรรค์ ไม่ค่อยสนใจรายละเอียด มีจินตนาการสูง เป็นนักคิดนักฝันสูง ชอบเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ ชอบคิดนอกกรอบ แสวงหาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ มักจะไปที่ที่ไม่เคยไป เป็นจอมโครงการเจ้าโปรเจ็กต์ บางครั้งเหมือนพวกฝันกลางวัน ขายฝันเก่ง สนใจทุกเรื่องราว อยากทำทุกเรื่อง จนบางครั้งทำงานแบบไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะสนใจไปหมดทุกเรื่อง ทั้งยังไม่มีลำดับความสำคัญก่อนหลัง จะเรียกว่าเป็นผู้นำแบบจับจดก็ได้ เพราะเป็นคนเบื่อง่าย ไม่อยู่กับอะไรนานๆ จึงควรยึดอะไรให้มั่น ทำงานหลักๆ ให้ได้เสียก่อนว่าชอบอะไรแน่ แล้วอะไรควรทำก่อน-หลัง
ควรเรียนรู้ระบบตามแบบผู้นำอย่างหมีหรือกระทิงดูบ้าง ควรคิดใหม่ ทำใหม่ ผู้นำแบบอินทรีนั้นห้ามทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ เนื่องจากเป็นคนชอบอิสระสูง ชอบสร้างเรื่องประหลาดใจเสมอ อะไรที่เหนือความคาดหมายนั้นจะชอบเป็นพิเศษ ดังนั้นจะไม่ชอบทำอะไรแบบซ้ำซากจำเจ แบบพวกนักสร้างสรรค์งานโฆษณา ผู้กำกับภาพยนตร์ มักจะมีบุคลิกแบบอินทรีสูง
ข้อดี : จะมีชีวิตการทำงานที่มีสีสัน สนุกสนาน แต่หาสาระแก่นสารไม่ได้ หรือยากที่จะประสบความสำเร็จได้โดยง่าย เพราะอาจดูกลายเป็นคนจับจดหยิบโหย่ง ด้วยความเป็นคนไม่ชอบความซ้ำซากจำเจจึงอาจกลายเป็นคนทำงานไม่ต่อเนื่องได้
ข้อเสนอแนะ : ผู้นำในแบบอินทรีหรือเหยี่ยวนั้น ควรต้องมีความผสมผสานระหว่างความเป็นหมีให้มากขึ้นเพื่อให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง มีการวางแผนที่ดี กลายเป็นคนที่มีจินตนาการที่จับต้องเป็นหลักการได้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นนักฝันแต่เพียงอย่างเดียว
รับทราบกันไปแล้วว่าผู้นำมีแบบใดบ้าง แต่ดีที่สุดก็คือต้องมีการผสมผสานกันมากกว่า 2 แบบ ดีที่สุด ควรมีทั้ง 4 แบบอยู่ในตัวเอง อาจจะแบบหนึ่งมาก อีกแบบปานกลาง อีกแบบนิดหน่อย ก็จะได้ส่วนผสมที่ดูลงตัวมากยิ่งขึ้น ยิ่งผ่านประสบการณ์มานานวันขึ้นคนเราก็ควรจะใช้ชีวิตการทำงานให้กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น อย่าเทน้ำหนักไปแบบใดแบบหนึ่งเพียงอย่างเดียว บางสถานการณ์อาจจะเป็นผู้นำแบบหนึ่ง อีกสถานการณ์อาจจะเป็นผู้นำในอีกแบบหนึ่งขึ้น อยู่กับความเหมาะสมในแต่ละครั้งคราวกันไป

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เวลา...ขำ..ขำ

เวลา..ขำ..ขำ !!!! เวลาของนักวิ่ง... >>>>>…...เร็วเท่าไรยิ่งดี เวลาของนักมวย... >>>>>…...เมื่อไหร่จะหมดยกสักที..(จะตายอยู่แล้ว).. เวลาของนักธุรกิจ... >>>>>…...คุ้มค่าทุกนาที อยากให้มีวันละ 48 ชั่วโมง เวลาในวงเหล้า... >>>>>…...แหม ! เวลาทำไมช่างผ่านไปเร็วจริง เวลาอยู่กับคนรัก... >>>>>…...อยากหยุดเวลาทุกนาทีไว้ในอ้อมกอดคุณ เวลาของแม่บ้าน... >>>>>…...โอ๊ย ! วันทั้งวันยังไม่ได้หยุดเลย เวลาของหมอนวด... >>>>>…...พี่จะอ๊อฟหนูทั้งคืนไม๊เนี่ย.. เวลาอ่านหนังสือ... >>>>>…...ทำไมมันง่วงนอนจัง..แค่ 15 นาที ก็จะหลับอยู่แล้ว (ตัวเกียจคร้านมันทำให้ง่วง) เวลาเรียนหนังสือ... >>>>>…...ทำไมเวลามันหมุนช้าจัง.. เมื่อไหร่จะหมดเวลาเสียที.. (ตัวเกียจคร้านมันมีอำนาจเหนือเรา) เวลาของครู... >>>>>…...เป็นเรื่องเดียวที่คอร์รัปชั่นได้ โดยไม่น่าเกลียด.. คือ..เข้าช้า...สอนน้อยง..ปล่อยเร็ว.. เวลาของพุทธพจน์... >>>>>…...วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่.. +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ข้อคิดจากเรื่องนี้... >>>>>…...เวลาที่สำคัญที่สุด คืออยู่อย่างมีสติ ไม่ประมาท

1 เหรียญ 2 ด้าน 3 มุม

1 เหรียญ 2 ด้าน 3 มุม คุณคงเคยได้ยินกันใช่ใหมคะว่า ... เหรียญมีสองด้านคือด้านหน้ากับด้านหลัง เป็นเรื่องธรรมดาของสรรพสิ่งในโลกว่ากันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ มีด้านดีก็มีด้านไม่ดีมีด้านสว่างก็มีด้านมืดมีทั้งคุณและโทษ คนเราก็เช่นกัน ...มีด้านหน้าก็ย่อมมีด้านหลังถึงได้สอนกันว่าการพินิจพิจารณาอะไร จึงควรพิเคราะห์ให้รอบคอบ เราจะไม่พูดให้ยืดยาวต่อไปจนเยิ่นเย้อไม่รู้จบว่า ...มันอาจมีด้านบนหรือด้านล่างได้อีก แต่จะบอกว่า ...มันยังมีอีกมุมหนึ่งคือ " ด้านใน " หรือข้างใน ใช่ค่ะ ... ที่อยู่ระหว่างด้านหน้า กับ ด้านหลัง ตรงกลางของมันยังมีด้านในซึ่งฉันขอเรียกมันว่าเป็นอีกด้านหนึ่งที่เป็นมุมที่สาม ต้นไม้ต้นหนึ่งมีด้านหน้ากับด้านหลัง ด้านหน้าเห็นแค่เปลือกไม้ด้านหลังก็มีให้มองแต่ที่ยังไม่เห็นคือ ด้านในซึ่งเรียกกันว่า แก่น หรือ กระพี้ คนเรา ...มีข้างหน้า ข้างหลัง แล้วยังมี ข้างใน ให้พิจารณาอีกด้วยซึ่งตัวตนแท้จริงอยู่ในนั้น คงคล้ายๆ ต้นไม้นั่นแหละค่ะ พระพุทธองค์ทรงมีพุทธโอวาทเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สมบัติทั้งหลายในโลก ว่าเป็น " อนิจจัง " ไม่เที่ยงทรัพย์สมบัติที่รายรอบตนนั้นเป็นทรัพย์ภายนอกจึงเป็นอนิจจังแต่ที่ควรแสวงหาและสะสมให้มากคือทรัพย์ภายในตนอันได้แก่ คุณงามความดี บุญกุศลกรรม ต่างๆจะเป็นทรัพย์ภายในตนและจะติดตามตนไป ทุกวันนี้ เราเหนื่อยกับการแสวงหาและสะสมทรัพย์ภายนอกกันมากก็อย่าลืมแสวงหาและสะสมทรัพย์ภายในกันด้วยนะคะคงไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต้องทำอะไร ยังไงกันบ้างสิ่งที่เป็นคุณ เป็นความดี เป็นสิริมงคลมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นและสะสมติดตามตัวเราไปเช่นเดียวกับ ด้านตรงข้าม หรือ " ด้านหลัง "ก็จะติดตามตัวเราไปเหมือนกัน ไม่ว่าเหรียญ ต้นไม้ หรือคนอยู่ในโลกนี้ภายใต้อาทิตย์ดวงเดียวกันมีข้างหน้า ข้างหลัง ให้เห็นแล้วยังมีข้างในให้แสวงหาน่ามอง และ ...ยังมีเงาที่ติดตามไปตลอดเวลา ... ***อ่านแล้วก็นำไปพัฒนาความคิดของตนเองนะจ๊ะ***